สมาธิในชีวิตประจำวัน พระราชวรมุนี (ประยูร ธมมจิตโต)

Spread the love
hcb1515a.jpg

สมาธิคือความตั้งใจมั่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เรากำหนดใจว่า จะทำให้สำเร็จ ใจเราปักหลักอยู่กับเรื่องนั้นเท่านั้น สมาธิมีความหมาย อีกอย่างหนึ่งว่าเอกัคคตา แปลว่า คิดเรื่องเดียว เลือกเรื่องที่ท่านจะทำ ลองกำหนดตารางเวลา ผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพนั้นจะกำหนดเวลา เป็นช่วง ๆ อันไหนเรื่องด่านเรื่องสำคัญแล้วก็ทุ่มเททำเรื่องนั้นจนหมดเวลา หรือเสร็จเรื่องแล้วจึงค่อยเปลี่ยนหรือสวิชต์ไปเรื่องอื่น เขาคิดทีละเรื่อง ไม่ใช่ให้เรื่องต่าง ๆ เข้ามาพันกันจนยุ่งไปหมด

การมีสมาธิหมายความว่าเรากำลังคิดเรื่องอะไรก็มีสติในเรื่องนั้น ใจอยู่กับเรื่องนั้นเพียงเรื่องเดียว อย่างที่หลวงพ่อเทียนท่านสอนให้ทำ สมาธิด้วยกายคตาสติ คือ กำหนดดูมือที่ขึ้นและลง ขึ้นก็รู้ ลงก็รู้ มีสติกับ การเคลื่อนไหวของมือในปัจจุบันตลอดเวลา ไม่วอกแวกไปไหนเลย สติที่ ติดตามการเคลื่อนไหวของมืออย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดสมาธิ มือใน ปัจจุบันขณะอยู่ตรงไหน สติรู้ทันหมด หรือในการฝึกสติตามการเดินว่า ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ สำหรับคนเริ่มฝึกขั้นแรก เขายกเท้าซ้ายแล้ว ก็วาง ยกเท้าขวาแล้วก็วางให้มีสติตามทันการเคลื่อนไหว คนที่ฝึกขั้นสูง สติรู้ปัจจุบันละเอียดขึ้นอีก ยก-ย่าง-เหยียบ อย่างนี้เป็นต้น

เมื่อฝึกสติมากขึ้น สติจะตามทันทุกอย่าง ทันแม้กระทั่งความคิด ของตัวเอง เวลาที่จิตโกรธ เราจะรู้ทันและใส่เบรกให้กับตัวเองได้ จุดประสงค์ที่แท้จริงต้องมาถึงขั้นที่ว่า ถ้าเกิดโกรธหรือกลัวขึ้นมาก็ สามารถที่จะห้ามความโกรธหรือปลุกปลอบใจได้ ถ้าหากว่าเราเริ่มจะขุ่นมัว สติจะเป็นเครื่องตรวจสอบตนเอง รู้ทันแม้กระทั่งความคิดของตนเองได้ เพราะฉะนั้นคนที่มักโกรธควรเจริญสติจะได้ใจเย็นลง สติเป็นตัวกระบวน การฝึกอยู่กับปัจจุบัน เช่น กำหนดลมหายใจเข้าออก ลมถูกปลายจมูกก็รู้ ลมหายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ อย่างนี้เป็นต้น ไม่วอกแวกไปที่อื่น สติอยู่กับลมหายใจเข้าออก เท่านั้นเรียกว่า อานาปานสติ คือ สติกำหนดลม หายใจเข้าและออก เมื่อทำสติเช่นนี้ต่อเนื่องจะเกิดสมาธิคือปักใจอยู่กับ ลมหายใจอย่างเดียว

สมาธิมี 3 ขั้นด้วยกัน คือ
1. ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ
2. อุปจารสมาธิ สมาธิเกือบจะแน่วแน่
3. อัปปนาสมาธิ สมาธิแน่วแน่

ขั้นที่ 1 เรียกว่า ขณิกสมาธิ เป็นสมาธิขั้นต้นสำหรับชาวบ้าน สมาธิชั่วขณะที่ทำสิ่งนั้น ๆ เช่น อยู่กับขณะของลมหายใจเข้า-ออก แน่วแน่ อยู่กับเรื่องนั้น สมาธิที่ใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวันเราอ่านหนังสือหนึ่งเล่ม จนจบได้ต้องมีขณิกสมาธิ ในการที่ท่านฟังบรรยายนี้เข้าใจจะต้องมีขณิก สมาธิทุกคน ถ้าไม่มีสมาธิขั้นนี้ เรียนอะไรไม่ได้

ใครมีขณิกสมาธิมากก็จะมีกระแสจิตที่แรงกล้า เพราะสมาธิคือ การรวมพลังให้กับกระแสจิต อย่างที่ท่านมองใครสักคนหนึ่งท่านมอง อย่างตั้งใจก็คือระดมความคิดไปที่เขา การระดมกระแสจิตไปนั้นก็คือ สมาธินั่นเอง ในขณะนั้น ท่านมองอย่างโกรธ มองอย่างรักหรือมอง อย่างเมตตา กระแสสมาธิจึงมีอยู่หลากหลาย อย่างเช่น ท่านแผ่เมตตาก็ คือทำสมาธินั่นเอง นึกถึงใครด้วยเมตตากรุณาคือความรักความสงสาร ก็เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง

พระพุทธเจ้าเองนิยมใช้การกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก ที่เรียกว่า อานาปานสติ
หลวงพ่อเทียนใช้กายคตาสติรู้ทันการเคลื่อนไหวของมือ คิดอยู่ เรื่องเดียว มองจะต้องให้เห็น คือรู้ทันปัจจุบัน ปรากฏว่า บางคนทำแล้ว วอกแวก เพราะแทนที่จะไปดูมือ ไปดูเส้นลายมือ คิดว่าเส้นลายมือเรามัน ขาด เส้นโชคเมื่อไรจะขึ้นสักทีหนอ มือซีดเหลือเกิน จิตวิ่งไปเรื่องไหนต่อ เรื่องไหน พอให้กำหนดลมหายใจเข้า-ออก เป็นหวัดเสียแล้ว คิดไป เรื่องโน้นเรื่องนี้ ฟุ้งซ่านไปหมด

สมาธิขั้นสูงขึ้นไปเกือบจะเป็นฌาน เรียกอุปจารสมาธิ แปลว่าใกล้ จะแน่วแน่ ขั้นนี้สามารถกำจัดนิวรณ์ทั้งห้าคือ กามฉันทะ (ความพอใจใน กาม) พยาบาท (ความขัดเคือง) ถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซึม) อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและรำคาญใจ) และวิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) อุปจารสมาธิยังไม่เรียกว่าฌานเพราะยังไม่มีองค์ฌานทั้งห้า สมาธิขั้นสูงสุดเรียกว่าอัปปนาสมาธิหมายถึงสมาธิแน่วแน่ เป็นสมาธิของผู้เข้าฌาน มีองค์ฌานทั้งห้า คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา พระพุทธเจ้าเวลาเข้าฌานสมาบัติ ฟ้าผ่าลงมาใกล้ ๆ ก็ไม่ได้ยิน จิตแน่ว แน่มาก อันนี้เราทำในชีวิตประจำวันไม่ได้ เพราะเสียงจะเป็นข้าศึก เป็นปฏิปักษ์ต่อสมาธิ ผู้ต้องการบรรลุสมาธิขั้นนี้อาจต้องเข้าป่า แต่ สำหรับคนที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ไม่จำเป็นต้องได้อัปปนาสมาธิก่อน ท่านทำขณิกสมาธิแล้วเข้าวิปัสสนาไปเลย

ความต่างของสมาธิและวิปัสสนาอยู่ตรงที่ สมาธิป็นเรื่องของ ความแน่วแน่ของจิต วิปัสสนาเป็นเรื่องของปัญญา วิปัสสนาคือเอาจิตไป ดูอนิจจัง ความไม่เที่ยง เกิด-ดับ ๆ ของจิต หรือความรู้สึกเช่น เมื่อครู่นั่ง แล้วมีความสุข ตอนนี้มีความทุกข์ สุขทุกข์ไม่เที่ยงคือเห็นไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกว่า วิปัสสนา เป็น เรื่องของปัญญา แต่ถ้าเป็นเรื่องของสมาธิในชีวิตประจำวันหรือเป็นเรื่อง ความสงบนิ่งแห่งจิต เป็นเรื่องจิตคิดน้อยที่สุดจนหยุดคิด ท่านจะมี ความสุขสงบ มีพลังในการทำงาน เป็นประโยชน์ในชีวิตทั่วไป แล้วทำให้ ท่านไม่เครียด

คนเครียดคือคนแบกเรื่องหนักไว้เต็มหัว พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้จะถึง วันงาน กังวลว่านี่ก็ยังไม่ได้ทำ นั่นก็ยังไม่ได้ทำ คิดจะทำเรื่องหนึ่งก็มีเรื่อง นี้มาเรื่องนั้นมากวนใจ เช่น ไปอยู่ที่ทำงานรู้สึกเครียดก็หอบงานกลับไป ทำที่บ้าน พอกลับบ้านก็หอบงานกลับไปทำที่ทำงาน อยู่ที่ทำงานก็ห่วง บ้านจนต้องโทรศัพท์กลับไปที่บ้าน พอไปอยู่ที่บ้าน ก็โทรศัพท์กลับไปที่ ทำงาน หรือตอนทำงานก็วางแผนพักร้อน ตอนไปพักร้อน ก็หอบเอา งานไปทำด้วย และพอกลับไปที่ทำงานก็วางแผนพักร้อนต่อไป อะไรก็ไม่รู้ ทำอะไรไม่จริงสักอย่าง ใจวุ่นวายสับสน คนที่ไม่เครียดก็คือทำทีละเรื่อง ที่ละอย่างอันไหนจำเป็นรีบด่วนก็ทำหรือที่เราเรียกว่าการจัดลำดับความ สำคัญนั่นเอง คนที่มีระเบียบในชีวิตบางคนทำงานได้หลายเรื่องในวันเดียว กัน ข้อสำคัญต้องมีระเบียบว่า ขั้นนี้เราทำให้เต็มที่ เสร็จแล้วจึงจับงาน อื่นขึ้นมาทำ ทำทีละเรื่อง ๆ เหมือนกับยกเก้าอี้ทีละตัว ถ้าท่านพยายาม ยกทีละ 10 ตัว ก็ยกไม่ไหว

นโปเลียนมหาราชเป็นผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพคนหนึ่ง จิตแพทย์ เขียนเล่าไว้ว่า ตอนนโบเลียนมีอำนาจวาสนารบเก่งมาก ตีชนะเกือบทั่ว ยุโรปจนถึงรัสเซีย รบก็เก่ง และเป็นนักบริหารที่เก่ง ในยามสงบ บริหาร การคลังเยี่ยม เงินเต็มคลัง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารีอังตัว เนตใช้เงินหมดเลย ไม่มีเงินเหลือ แต่นโปเลียนสามารถทำเงินให้เต็มคลัง ไปรบที่ไหนเขียนจดหมายถึงมเหสี เขียนจดหมายสั่งงานได้ มีจดหมาย และบันทึกของนโปเบียนเก็บไว้เป็นหลักฐาน ในปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ถึง 80,000 ฉบับ บางฉบับแปลมาเป็นภาษาไทย คือเรื่องจดหมายรัก นโปเลียน เขาเอาเวลาที่ไหนมาทำเรื่องต่างกันได้ เรื่องเศรษฐกิจกับการรบ มันคนละอย่าง

จิตแพทย์สงสัยว่านโปเลียนทำได้อย่างไร ตอนนั้นนโปเลียนถูก จับปล่อยเกาะ จิตแพทย์ก็ยังอุตส่าห์นั่งเรือไปสัมภาษณ์ นโปเบียนก็ขยาย ความลับบอกว่าเราฝึกคิดทีละเรื่อง ทำเรื่องไหนนึกคิดเรื่องนั้นเท่านั้น คือทำสมาธินั่นเอง มีสติจดจ่ออยู่กับเรื่องนั้น เขาไม่ได้เรียนรู้วิธีทำสมาธิ แบบพุทธเขาฝึกด้วยวิธีของตนเอง เขาบอกว่า ฝึกจินตนาการให้หัว สมองเขาเหมือนกับตู้มีลิ้นชักหลายลิ้นชัก แต่ละลิ้นชัก เก็บไว้ 1 เรื่อง เท่านั้น เรื่องสงครามเก็บไว้ลิ้นชักนี้ เรื่องจดหมายเก็บไว้ลิ้นชักนั้น เรื่องอื่นเก็บไปลิ้นชักอื่น และจะคิดเรื่องไหนก็เปิดลิ้นชักนั้นออกมาเท่านั้น ปิดลิ้นชักอื่นให้หมด ไม่ให้มันตีกัน และเวลาหยุดคิดก็ปิดลิ้นชักอื่นให้หมดเลย นโปเลียนกล่าวว่าถ้าไม่เชื่อจะทดลองทำให้ดู เราจะไม่คิดอะไรเลย ว่าแล้วก็หลับตาเอนกายลงนอน ไม่ถึง 5 นาที นโปเลียนหลับสนิทเลย จิตแพทย์อัศจรรย์ใจ จับชีพจรดูลมหายใจแล้วเห็นว่าเขาหลับจริง หลอก หมอไม่ได้หรอก นโปเลียนทำได้เพราะฝึกคิดทีละเรื่อง ทำทีละอย่างให้ดี หมดเวลาก็หยุดทำ

มีเรื่องเล่าทำนองเดียวกันว่า นายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ขณะที่ต่างชาติยกทหารบุกเข้ามา ปรากฏว่าในรั้วในวังตกใจกันใหญ่เลย วิจารณ์กัน ว่าจะรบดีไหม ท่านนายกรัฐมนตรีไม่ประกาศสังครามสักที ยังอึมครึม กันอยู่จนกระทั่งเวลาเลี้ยงอาหารค่ำงานใหญ่มีเจ้าหญิงร่วมเสวย เขาก็คุย กันเรื่องสงครามว่า รัฐบาลจะรบหรือไม่รบ แต่นายกรัฐมนตรีนั่งรับ ประทานเฉยไม่พูดกับใคร คนก็วิจารณ์กันรอบ ๆ โต๊ะ ในที่สุดเจ้าหญิงองค์ หนึ่งทนไม่ได้ ถามท่านนายกรัฐมนตรีตรง ๆ ว่า ท่านยังมัวรออะไรอยู่ละ ท่านนากยกฯ ก็ทูลตอบว่า กำลังรอของหวานรายการต่อไป

นี่เป็นสมาธิฝึกมีระเบียบในชีวิต พวกที่เครียดจนเป็นโรคกระเพาะ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ควรฝึกคิดทีละเรื่องเหมือนนโปเลียน หัดสร้าง ระเบียบให้กับชีวิตตนเอง

การทำสมาธิก็คือมีสติอยู่กับเรื่องเฉพาะหน้านั้น และเอาจิตใจ ตามเรื่องนั้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายเหมือนกับกระแสน้ำที่อยู่ในเขื่อน แล้วปล่อยออกมาทางเดียวจะเป็นพลังผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ถ้ากระแสจิต ซัดส่ายไปหลากหลายจะไม่มีพลังพอจะแก้ปัญหา บางครั้งถ้าท่านมี ปัญหาอะไร คิดไม่ออก ให้นอนหลับ ตื่นเช้าขึ้นมา สมองจะปลอดโปร่ง ความคิดของท่านสดใสขึ้น ไอเดียต่าง ๆ จะเกิดขึ้น นักคิดหลายคนได้ ความคิดที่ดีตอนเช้ามืดเมื่อสมองปลอดโปร่ง เพราะได้พักตอนนอนหลับ กระแสจิตมีพลัง.

ที่มา www.mongkoltemple.com/page02/articles019.html