ว่าด้วยสังโยค วิสังโยค

Spread the love

พระไตรปิฎกมหาวิตถารนัย ๕๐๐๐ กัณฑ์
กัณฑ์ที่ ๒๐๐
คัมภีร์ขุททกนิกาย พระอปทาน
(ฉบับ ส.ธรรมภักดี)

ว่าด้วยเรื่องพระอุบลทายิกาเถรีและพระสิงคาลมาตาเถรี

นคเร อรุณวติยา อรุโณ นาม ขตฺติโย
ตสฺส รญฺโญ อหํ ภริยา เอกจฺจํ วาทยามหํฯ
รฆดคตา นิสีทิตฺวา เอวํ จินฺเตสหํ ตทา
กุสลํ เม กตํ นตฺถิ อาทาย คมิยํ มมาติ.

ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงคัมภีร์พระอปทาน กัณฑ์ที่ ๒๐๐ ว่าด้วยเรื่องพระอุบลทายิกาเถรีและเรื่องพระสิงคาลมาตาเถรี สืบต่อไป เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชนทั้งหลายตลอดกาลนาน หาประมาณมิได้

เรื่องพระอุบลทายิกาเถรีเป็นต้น
ดำเนินความตามวาระพระบาลี อันมีในวรคที่ ๓ แห่งเถรีอปทานว่า นางอุบลทายิกาเถรี ซึ่งได้สำเร็จเป็นอรหันต์แล้วได้กล่าวไว้ว่า เราได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าอรุณ ในเมืองอรุณวดี ในปางก่อนโน้น อยู่มาวันหนึ่ง เราได้นั่งอยู่ในที่สงัดแล้วคิดว่า เรายังไม่ได้ทำกุศลอันใดไว้เราจะต้องไปสู่นรกที่ร้อนยิ่ง ที่ลำบากยิ่ง เป็นแน่แท้โดยไม่ต้องสงสัย ครั้นเราคิดอย่างนี้แล้ว จึงได้ไปเฝ้าพระราชากราบทูลว่า หม่อมฉันเป็นสตรี ไม่มีความสามารถที่จะทำบุญได้มากเหมือนอย่างบุรุษ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตให้หม่อมฉันได้เลี้ยงพระสักองค์หนึ่งเถิด ในคราวนั้นพระราชาก็ทรงอนุญาตสมณองค์หนึ่งให้แก่เรา เราก็ได้รับบาตรของสมณะองค์นั้นไปใส่ให้เต็มด้วยอาหารที่มีรสดีๆ แล้วเอาดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมวางไว้ในเบื้องบนข้าวนั้น และปิดด้วยผ้าที่มีค่ามาก แล้วนำไปถวายเวลาเราตายจากชาตินั้นแล้วเราก็ได้เกิดในดาวดึงส์สวรรค์ ได้เป็นมเหสีของเทวราชอยู่พันชาติ เป็นมหเสีของจักพรรดิราชอยู่พันชาติ เป็นมเหสีของพระราชาประเทศราชอยู่นับชาติไม่ได้ เราได้รับผลแห่งบุญกุศลนั้นนานาประการ เรามีสีกายเหมือนดอกบัว มีรูปร่างสวยงามยิ่ง ประกอบด้วยลักษณะหญิงทั้งปวง มาในชาติสุดท้ายนี้เราได้เกิดในตระกูลสักยะ ได้เป็นใหญ่กว่านารีพันหนึ่ง เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าสุทโธทนะ

ต่อมาเราก็เบื่อหน่ายฆราวาส แล้วออกบรรพชาในพระพุทธศาสนา พอบรรพชาได้ ๗ วันก็ได้สำเร็จพระอรหัต เราไม่อาจนับจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยที่บุคคลนำมาถวายได้ อันนี้เป็นผลแห่งการใส่บาตรไว้แต่ในชาตินั้น นับแต่เราได้ใส่บาตรนั้นมาได้ ๓๑ กัลป์ เราไม่เคยรู้จักทุคติเลย เรารู้จักแต่คติ ๒ คือเทพยดามนุษย์เท่านั้น ส่วนตระกูลเราก็รู้จักอยู่ ๒ ตระกูลคือตระกูลพราหมณ์ ตระกูลกษัตริย์เท่านั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อย ภพใหญ่ ไม่ได้พบปะสิ่งที่ไม่ชอบใจเลย อันนี้เป็นผลแห่งการดีใจในการใส่บาตร เราเป็นผู้ชำนาญในทางฤทธิ์ ทางทิพพโสต ทางเจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสญาณ ทิพพจักขุญาณ อาสวักขยญาณแล้ว บัดนี้ไม่มีการเกิดอีกแล้ว เราได้ชำนาญในปฏิสัมภิทา ๔ แล้ว ได้เผากิเลสสิ้นแล้ว ได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้ทำลายเครื่องผูกให้ขาดไปเหมือนกับช้างทำลายเครื่องผูกให้ขาดไปฉะนั้น การที่เรามาสู่สำนักพระพุทธเจ้านี้เป็นการมาดีแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้วได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วดังนี้

ต่อนี้ไป เป็นเรื่องนางสิงคาลมาตาเถรี ตามอรรถกถาแห่งเอกนิบาต อังคุตตรนิกายว่า พระเถรีองค์นี้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในฝ่ายมีศรัทธา เมื่อครั้งพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าโน้น พระเถรีองค์นี้ได้เกิดในตระกูลหนึ่งในเมืองหงสวดี เวลาไปฟังพระธรรมเทศนา ได้เห็นองค์พระปทุมุตตรศาสดา ทรงตั้งภิกษุณีองค์หนึ่งไว้ในตำแหน่งเลิศฝ่ายมมีศรัทธา จึงทำบุญกุศลแล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น จำเดิมแต่นั้นมา ก็ได้เวียนตายเวียนเกิดอยู่ในเทพยดามนุษย์ตลอดแสนกัลปาวสาน มาถึงพุทธกาลนี้ก็ได้มาเกิดในตระกูลเศรษฐีที่กรุงราชคฤห์ เวลาเติบดตขึ้นก็ไปอยู่ในตระกูลของสามี ที่เป็นเศรษฐีเหมือนกัน มีบุตรด้วยกันคนหนึ่งชื่อว่า สิงคาลกุมาร เพราะเหตุการณ์อันนี้ พระเถรีองค์นี้จึงได้ชื่อว่า สิงคาลมาตา อยู่มาวันหนึ่ง สิงหคาลมาตานั้น ได้ไปฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธาได้ออกบรรพชาในพระพุทธศาสนา นับแต่บรรพชาแล้วไป ก็มีศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง เวลาไปฟังพระธรรมเทศนาก็ได้แต่ยืนแลดูองค์พระศาสดาเท่านั้น องค์พระศาสดา ก็ทรงทราบว่าเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้า จึงได้ทรงแสดงธรรมอันทำให้เกิดความเลื่อมใส เมื่อพระเถรีองค์นี้ได้ฟังธรรมอันทำให้เกิดความเลื่อมใสนั้นแล้วก็ได้สำเร็จพระอรหัต ต่อมาภายหลัง องค์พระสรรเพชญพุทธเจ้าซึ่งประทับนั่ง ณ พระเชตะวัน ทรงตั้งภิกษุณีทั้งหลายไว้ในตำแหน่งนั้นๆ จึงได้ทรงตั้งพระเถรีองค์นี้ไว้ในตำแหน่งเลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ฝ่ายผู้มีศรัทธา สิ้นเนื้อความในอรรถกถาแห่งเอกนิบาต อังคุตตรนิกายเพียงเท่านี้

ต่อนี้ไปเป็นเนื้อความในคัมภีร์พระอปทานว่า พระเถรีองค์นี้ได้กล่าวไว้ว่า พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ชนะมารทั้งปวง ผู้ล่วงรู้ล่วงเห็นธรรมทั้งปวง ผู้เป็นนายกของโลก ได้เกิดในกัลป์ที่แสนนับถอยหลังจากกัลป์นี้ไป ในคราวนั้น เราได้เกิดในตระกูลอำมาตย์ ที่รุ่งเรืองด้วยแก้วต่างๆ ที่เป็นตระกูลมั่งคั่งด้วยทรัพย์สฤงคารบริวาร ในเมืองหงสวดี เราได้ไปฟังธรรมกับบิดาและมหาชนบริวาร ครั้นฟังธรรมแล้วเราได้บรรพชาในพระพุทธศาสนา เราได้บรรพชาแล้ว ก็ละเว้นความชั่วทางกาย วาจา ใจ ได้หาเลี้ยงชีพตามพระธรรมวินัย เรามีความเลื่อมใสเคารพนับถือในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแรงกล้า ได้ประกอบการการฟังพระสัทธรรม มีความยินดีในการได้เห็นพระพุทธเจ้า ในคราวนั้น เราได้ยินภิกษุณีองค์หนี่งได้รับคำสรรเสริญว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่ายมีศรัทธา เราก็ได้บำเพ็ญไตรสิกขาให้บริบูรณ์ แล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น ลำดับนั้น พระปทุมตตรพุทธเจ้าผู้ประกอบด้วยพระกรุณา ก็ได้ตรัสแก่เราว่า ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่นดีต่อพระตถาคตเจ้า มีศีลดี มีความเลื่อมใสดีต่อพระสงฆ์ มีความเห็นตรงดี ผู้มีปัญญาทั้งหลายเรียกผู้นั้นว่าเป็นผู้ไม่ขัดสน ชีวิตของผู้นั้นเป็นชีวิตไม่เปล่าจากประโยชน์ เพราะฉะนั้นบุคคลผู้มีศรัทธา มีศีล มีความเลื่อมใส มีการเห็นธรรม บุคคลผู้มีปัญญาเมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ควรทำให้มีคุณธรรมเหล่านี้ เราได้ฟังดังนี้แล้วก็ดีใจ ได้ทูลถามความปรารถนาของเราว่า จะสำเร็จหรือไม่ประการใด องค์พระจอมไตรศาสดาผู้ทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระก็ได้ทรงพยากรณ์ว่า ความปรารถนาอันดีนี้จักสำเร็จแก่เธอ ต่อไปในกัลป์ที่แสนข้างหน้า จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า โคดมเกิดขึ้นในโลก เธอจักได้เป็นธรรมทายาทของพระโคดม จักได้เป็นโอรสของพระโคดมโดยทางธรรม จักได้เป็นมารดาของสิงคาลมาณพ จักได้เป็นสาวิกาของพระโคดม เราได้ฟังดังนี้แล้วก็เกิดความบันเทิงใจได้ปฏิบัติองค์พระปทุตตระอยู่ตลอดชีวิต ด้วยการกระทำดีและความปรารถนาอันดีของเรานั้น เวลาเราละอัตภาพมนุษย์แล้ว ก็ได้ไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ มาในภพสุดท้ายนี้ได้มาเกิดในตระกูลเศรษฐีที่กรุงราชคฤห์ มีบุตรชื่อว่าสิงคาลมาณพ บุตรของเราผู้ชื่อว่าสิงคาลมาณพเป็นผู้มีความเห็นผิด บิดาจึงแนะนำให้ไหว้ทิศทั้ง ๖ เมื่อเขาไหว้ทิศทั้ง ๖ ตามคำสั่งของบิดา พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปพบ ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยข้อปฏิบัติของฆราวาส มีการไหว้ทิศทั้ง ๖ เป็นต้น ประชุมชนประมาณ ๒ โกฏิ ที่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าในคราวนั้นก็ได้สำเร็จมรรคผล

ในคราวนั้น เราก็ได้ไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จโสดาปัตติผลแล้วก็ออกบรรพชา ต่อมาไม่ช้าเราเจริญพระพุทธคุณ คือนึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้สำเร็จพระอรหัต เราไม่รู้จักเบื่อในการเห็นพระพุทธเจ้าเพราะรูปกายของพระพุทธเจ้า เป็นรูปกายที่เกิดขึ้นด้วยบารมีทั้งปวง เป็นรูปกายที่เต็มด้วยความสวยงามโดยประการทั้งปวง พระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งเราไว้ ในตำแหน่งอันเลิศ ฝ่ยมีความเลื่อมใสศรัทธาว่ามารดาของสิงหคาลมาณพนี้เป็นผู้เลิศในฝ่ายมีความเลื่อมใสศรัทธา เราเป็นผู้ชำนาญในทางฤทธิ์ ทางทิพพโสต ทางเจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสญาณ ทิพพจักขุญาณ อาสวักขยญาณ ปฏิสัมภิทาญาณ เราได้เผากิเลสให้สิ้นแล้วได้ถอนภพทั้งปวงแล้ว ได้ตัดเครื่องผูกใหขาดเหมือนนางช้างทำลายเครื่องผูกให้ขาดแล้วฉะนั้น เราไม่มีอาสวะแล้ว การที่เราเข้ามาในพระพุทธศาสนานี้เป็นการมาดีแล้ว เราได้สำเร็จวิชชา ๓ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ อภิญญา ๖ แล้วได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้ สิ้นเรื่องนางภิกษุณีองค์นี้เพียงเท่านี้

ขอท่านผู้ฟังทั้งหลายจงเข้าใจเถิดว่า นางภิกษุณีองค์นี้ได้ตั้งความปรารถนาไว้แต่ครั้งพระปทุมุตตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าโน้น นับแต่ครั้งนั้นมาก็ได้เกิดแต่ในเทพยดามนุษย์เท่านั้น บุญกุศลที่พระเถรีองค์นี้ได้กระทำไว้ในครั้งนั้นก็ได้แก่การบรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้วปฏิบัติตามพระธรรมวินัย มีความเลื่อมใสต่อพระรัตนตรัยเป็นอย่างยิ่งอันความเลื่อมใสเป็นเครื่องหมายของผู้มีศรัทธา เพราะธรรมดาผู้มีศรัทธาย่อมมีความเลื่อมใสเป็นลักษณะ การที่พระเถรีองค์นี้ได้เลื่อมใสต่อพระรัตนตรัย ก็ด้วยศรัทธาคือความเชื่อถือว่า พระรัตนตรัยเป็นของประเสริฐแท้ แต่พวกเราโดยมากเข้าใจกันว่า ผู้ที่ทำบุญให้ทานเท่านั้นจึงเรียกว่า ผู้มีศรัทธา ความจริงไม่เฉพาะแต่ผู้ทำบุญให้ทานเท่านั้น ผู้ไม่ได้ให้ทานเลยก็ตาม ถ้ามีความเลื่อมใสเชื่อถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐแท้ เป็นผู้สิ้นกิเลสตัณหา เป็นผู้สั่งสอนประชาชนให้ละชั่วทำดี ไม่มีใครเสมอเหมือนเลื่อมใสเชื่อถือว่า พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นของประเสริฐแท้ เพราะเป็นคำสอนให้บุคคลละชั่วทำดีทั้งนั้น มีความเลื่อมใสเชื่อถือว่า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐแท้ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยตนเองและสั่งสอนให้ผู้อื่นกระทำตาม เป็นผู้มีศีลธรรมดีกว่าผู้อื่น ดังนี้ ก็เรียกว่า ผู้มีศรัทธาโดยแท้ แต่ถ้าได้บริจาคทานประกอบอีกแล้ว ก็ทำให้คนทั้งหลายเห็นได้ว่าเป็นผู้มีศรัทธา

ต่อนี้ไปเป็นเรื่องนางสุกาเถรีว่า นางสุการีได้กล่าวไว้ว่า พระวิปัสสีพุทธเจ้าได้ทรงเกิดขึ้นกัลป์ที่ ๙๑ นับถอยหลังจากกัลป์นี้ลงไปในคราวนั้น เราได้เกิดในตระกูลหนึ่งที่เมืองพันธุมดี ได้ฟังพระธรรมขององค์พระวิปัสสีแล้วก็ออกบวช เวลาบวชแล้วก็ได้ศึกษาแตกฉานในพระไตรปิฏกได้เป็นพระธรรมกถิกาผู้มีชื่อเสียง ได้แสดงธรรมให้เป็นประโยชน์แก่ประชุมชนเป็นอันมาก เวลาเราตายจากชาตินั้นแล้ว ก็ได้ขึ้นไปเกิดในดุสิตสวรรค์ ต่อมาถึงกัลป์ที่ ๓๑ พระสิขีก็เกิดขึ้น เราก็ได้บวชในศาสนาของพระองค์ ได้เป็นผู้แตกฉานในพระพุทธศาสนา เวลาตายจากชาตินั้นแล้วได้ขึ้นไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ ต่อมาถึงครั้งพระเวสสภูพุทธเจ้า เราก็ได้จุติจากสวรรค์ได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ออกบวชในพระพุทธศาสนาเป็นพระธรรมกถิกาอีก พอตายจากชาตินั้นแล้วก็ได้ขึ้นไปเกิดในสวรรค์อีก มาถึงครั้งพระกกุสนธพุทธเจ้า เราก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ได้ออกบวชในพระพุทธศาสนาได้เป็นพระธรรมกถิกาอีก แล้วขึ้นไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์อีก มาถึงครั้งพระโกนาคมน์เราก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้บวชในพระพุทธศาสนาเป็นพระรธรรมกถิกาอีก มาถึงครั้งพระกัสสปเราได้บวชเป็นพระธรรมกถิกาอีก แล้วได้ขึ้นไปเกิดในดาวดึงสวรรค์อีก ชาติสุดท้ายนี้เราจุติจากดาวดึงส์ ได้ลงมาเกิดในตระกูลเศรษฐีที่กรุงราชคฤห์ ได้เห็นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์พันหนึ่งเสด็จเข้ามาสู่กรุงราชคฤห์ ได้เห็นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์พันหนึ่งเสด็จเข้ามาสู่กรุงราชคฤห์เป็นครั้งแรก เราได้เลื่อมใสต่อพระองค์ ต่อมาเราก็ได้บรรพชาในพระพุทธศาสนา ไม่ช้าก็ได้สำเร็จพระอรหัต ทรงคุณธรรมต่างๆ มีปฏิสัมภิทา ๔ เป็นต้น ดังนี้

ต่อนี้ไป เป็นเรื่องของนางอภิรูปนันทาเถรีว่า พระเถรีองค์นี้ได้กล่าวไว้ว่ากัลป์ที่ ๙๑ ได้มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระวิปัสสี เกิดขึ้นในโลก ในคราวนั้นเราได้เกิดในตระกูลที่มั่งมีตระกูลหนึ่งที่เมืองพันธุมดีเวลาพระวิปัสสีปรินิพพานแล้วเราได้ทำเศวตฉัตรทองบูชาซึ่งพระธาตุเจดีย์ของพระองค์ แล้วเราได้ขึ้นไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ มาชาติสุดท้ายเราได้มาเกิดเป็นธิดาของพระเจ้าเขมศากยะ ในกรุงกบิลพัศดุ์ เป็นผู้ประกอบด้วยรูปสมบัติอันงามเลิศ ต่อมาเราก็ได้บรรพชา เป็นภิกษุณี ได้เห็นองค์พระชินศรี ทรงเนรมิตสตรีรูปงามคนหนึ่งให้ยืนพัดอยู่ที่ข้างพระงค์แล้วทรงบันดาลให้หญิงนั้นกลับกลายเป็นคนแก่คนเจ็บ คนตาย ทำให้เรากิดความสลดใจ แล้วเราก็ได้สำเร็จพระอรหัตด้วยพระธรรมเทศนาของพระองค์ดังนี้

ต่อนี้ไป เป็นเรื่องของนางอัฑฒเถรีว่า พระเถรีองค์นี้ได้กล่าวไว้ว่าเราได้บรรพชาเป็นภิกษุณี ในพระศาสนาของพระกัสสปชินศรี เป็นผู้สำรวมดีในพระธรรมวินัย แต่อยู่มาคราวหนึ่ง เราได้ด่านางภิกษุณีที่เป็นองค์อรหัตว่าหญิงแพศยา แล้วเราได้ไปตกนรกอยู่ตลอดกาลนาน พ้นจากนรกมาแล้วเราได้มาเกิดในตระกูลหญิงแพศยา มาชาติสุดท้ายนี้เราได้มาเกิดในตระกูลเศรษฐี ได้ฟังธรรมขององค์พระชินศรีแล้ว ก็ได้บรรพชาเป็นภิกษุณี ต่อมาไม่ช้าก็ได้สิ้นอาสวกิเลสทั้งปวง ดังนี้

ในถ้อยคำของนางปุณณิกาเถรีว่า เราได้บวชเป็นภิกษุณีในศาสนาพระวิปัสสี ได้ศึกษาเล่าเรียนซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ได้มาก มาถึงชาติปัจจุบันนี้เราได้มาเกิดเป็นทาสีของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ด้วยบาปกรรมที่ได้ทำไว้ในปางก่อน อยู่มาวันหนึ่ง เราลงไปตักน้ำที่ท่าน้ำ ได้เห็นพราหมณ์คนหนึ่งลงไปอาบน้ำตัวสั่นเทาๆ อยู่แต่เช้า เราจึงถามว่าเพราะเหตุไร ท่านจึงลงมาอาบน้ำตัวสั่นเทาๆ อยู่แต่เช้าเช่นนี้ พราหมณ์นั้นตอบว่า ไม่ว่าคนแก่คนหนุ่มที่ทำบาปแล้ว พอลงมาอาบน้ำก็หมดบาป เราจึงสอนพราหมณ์นั้นว่าไม่เป็นความจริง เพราะบุคคลย่อมไม่หมดบาปไปด้วยการอาบน้ำแต่เช้า พราหมณ์นั้นก็สลดใจจึงได้ไปบวช ต่อมาภายหลัง เศรษฐีผู้เป็นนายของเราได้ฟังเรื่องนี้ ก็เกิดความเลื่อมใส จึงได้ปลดเราจากความเป็นทาส ยกให้เราเป็นไทยแล้วเราก็ได้บรรพชา ไม่ช้าก็ได้สำเร็จพระอรหัต มีนามว่า นางปุณณิกา เพราะเราเป็นทาสีคนที่ เต็ม ๑๐๐ ในเมื่อเป็นฆราวาส ดังนี้

ในถ้อยคำของนางอัมพปาลีเถรีนั้นว่า เราได้เป็นน้องสาวของปุสสพุทธเจ้าได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส ได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์ มาถึงกัลป์ที่ ๓๑ เราก็ด่าว่าภิกษุณีองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นสาวิกาของพระสิชีศาสดา ว่าหญิงแพศยา เวลาเราตายจากชาตินั้นแล้วเราก็ได้ไปตกนรกอยู่ตลอดกาลนาน เวลาพ้นจากนรกแล้วเราได้มาเกิดเป็นหญิงแพศยาอยู่ถึงหมื่นชาติ แต่ก็ยังไม่หมดบาปนั้น มาชาติสุดท้ายนี้เราก็ได้มาเกิดนะระหว่างกิ่งมะม่วง โดยไม่มีมารดา พอเกิดมาก็มีรูปพรรณสวยงาม มีนามว่านางอัมพปาลี ต่อมาก็ได้เป็นหญิงแพศยาอีก แต่ด้วยบุญกุศลที่เราได้ถวายทานไว้ในศาสนาของพระปุสสพุทธเจ้าโน้น ทำให้เราได้สำเร็จพระโสดาบันแล้วได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาและได้สำเร็จพระอรหัตในไม่ช้า

ในถ้อยคำของนางเสลาเถรีว่า เราได้เกิดในตระกูลอุบาสก ในครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็ได้นับถือพระไตรสรณคมน์มั่นอยู่ในศีล เวลาเราตายจากชาตินั้นแล้ว เราก็ได้ขึ้นไปเกิดในดาวดึงส์สวรรค มาชาติสุดท้ายนี้ได้มาเกิดในตระกูลมหาเศรษฐี ได้เลื่อมใสในพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วก็ได้บรรพชา ต่อมาไม่ช้าก็ได้สำเร็จพระอรหัต สิ้นสรรพกิเลสทั้งปวง ดังนี้ สิ้นเรื่องพระเถรีในคัมภีร์พระอปทานเพียงเท่านี้

ก็แลในคัมภีร์พระอปทานนี้ ว่าด้วยการสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหัต ทั้งที่เป็นสาวกสาวิกาเป็นอันมาก ดังที่ได้แสดงมา ผู้ที่ได้ฟังเทศนาคัมภีร์นี้แล้วจะเกิดความผ่องแผ้วยินดีในบุญกุศลนานาประการ ในอวสานแห่งการจบเทศนาคัมภีร์พระอปทานนี้ ขอให้พระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนทั้งหลายเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัย จงตลอด ๕ พันพรรษา ขอให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจงยินดีฟัง ยินดีในการกระทำซึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าจงทุกเมื่อ เพื่อให้เกิดความสุขความเจริญแก่ตนและบุคคลอื่นทั้งในชาตินี้และในชาติหน้า ชาติสุดท้าย จงให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้สำเร็จวิมุตติ มรรค ผล นิพพาน โดยรวดเร็ว สมดังมโนรถความปรารถนา สิ้นเนื้อความในคัมภีร์พระอปทานเทศนาเพียงเท่านี้

เอวํ ก็มี ด้วยประการฉะนี้ฯ