พุทธานุญาตน้ำปานะ ๘ ชนิด

Spread the love

 

[๘๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินผ่านระยะทางโดยลำดับ เสด็จถึงอาปณนิคมแล้ว เกณิยชฎิลได้สดับข่าวถนัดแน่ว่า “ท่านผู้เจริญ พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยตระกูล เสด็จโดยลำดับ ถึงอาปณนิคมแล้ว ก็พระกิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของทวยเทพและมนุษย์ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสั่งสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ ทวยเทพและมนุษย์ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้นเป็นความดี.”

หลังจากนั้น เกณิยชฎิลได้ดำริว่า “เราจะให้นำอะไรไปถวายพระสมณโคดมดีหนอ” จึงได้ดำริต่อไปว่า “บรรดาฤาษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือ ฤาษีอัฏฐกะ ฤาษีวามกะ ฤาษีภารทวาชะ ฤาษีวาเสฏฐะ ฤาษีกัสสปะ ฤาษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์ บอกมนต์มาก่อนซึ่งพวกพราหมณ์ในบัดนี้ จับตามกล่าวตามซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ ที่ท่านขับแล้วบอกแล้วรวมรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่กล่าวไว้ บอกไว้เป็นผู้เว้นฉันในราตรี งดฉันเวลาวิกาล ฤาษีเหล่านั้นได้ยินดีน้ำปานะเห็นปานนี้ แม้พระสมณโคดมก็เว้นฉันในราตรี งดฉันในเวลาวิกาล ก็ควรจะยินดีน้ำปานะเห็นปานนี้บ้าง” แล้วสั่งให้ตกแต่งน้ำปานะเป็นอันมาก ให้คนหาบ ไปถึงพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วได้กราบทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการกราบทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า “ขอท่านพระโคดมโปรดทรงรับน้ำปานะของข้าพระพุทธเจ้า.”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “เกณียะ ถ้าเช่นนั้นจงถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย” ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่ย่อมรับประเคน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตว่า “ภิกษุทั้งหลาย จงรับประเคนฉันเถิด” ครั้งนั้น เกณิยชฎิลได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยน้ำปานะเป็นอันมากด้วยมือของตน ได้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จนพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จ ทรงห้ามภัต แล้วนำพระหัตถ์ออกจากบาตร พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงชี้แจงให้เกณิยชฎิลผู้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เป็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา.

ครั้งนั้น เกณิยชฎิลอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ขอท่านพระโคดมพร้อมกับภิกษุสงฆ์ ทรงพระกรุณาโปรดจงรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศล ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.”

พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนว่า “เกณิยะ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และท่านก็เลื่อมใสยิ่งนักในหมู่พราหมณ์.”

เกณิยชฎิลได้ทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นคำรบ ๒ ว่า “แม้ภิกษุสงฆ์จะมีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และรูปพระพุทธเจ้าได้เลื่อมใสยิ่งนักในหมู่พราหมณ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ขอท่านพระโคดมพร้อมกับภิกษุสงฆ์ทรงพระกรุณาโปรดจงรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศลในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนเกณิยะว่า “ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และท่านก็เลื่อมใสยิ่งแก่ในหมู่พราหมณ์.”

เกณิยชฎิลก็ได้กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นคำรบ ๓ ว่า “แม้ภิกษุสงฆ์จะมีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และข้าพระพุทธเจ้าได้เลื่อมใสยิ่งนักในหมู่พราหมณ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ขอท่านพระโคดมพร้อมกับภิกษุสงฆ์ ทรงพระกรุณาโปรดจงรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศล ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.”

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอาราธนาโดยดุษณีภาพ ครั้นเกณิยชฎิลทราบอาการรับอาราธนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ลุกจากที่นั่งกลับไป.

พุทธานุญาต

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำปานะ ๘ ชนิด คือ น้ำปานะทำด้วยผลมะม่วง๑ น้ำปานะทำด้วยผลหว้า๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยมีเมล็ด๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยไม่มีเมล็ด๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะซาง๑ น้ำปานะทำด้วยผลจันทน์หรือองุ่น๑ น้ำปานะทำด้วยเหง้าบัว๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะปรางหรือลิ้นจี้๑.

ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าว.

ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำผัก.

ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะซาง.

ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำอ้อยสด.

เกณิยชฎิลอังคาสภิกษุสงฆ์

ครั้งนั้น เกณิยชฎิลสั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีต ณ อาคารของตน โดยผ่านราตรีนั้น แล้วให้คนไปกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ถึงเวลาแล้ว ท่านพระโคดม ภัตตาหารเสร็จแล้ว” ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสก แล้วถือบาตรจีวร เสด็จพระพุทธดำเนินไปทางอาศรมของเกณิยชฎิล ครั้นถึงแล้วประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย พร้อมกับภิกษุสงฆ์ เกณิยชฎิลจึงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยของเคี้ยวของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน ได้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งจนพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จ ทรงห้าม แล้วนำพระหัตถ์ออกจากบาตร

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงอนุโมทนาเกณิยชฎิลด้วยคาถาเหล่านี้ว่าดังนี้

[๘๗] ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นหัวหน้า สาวัตติฉันท์เป็นยอดของฉันทศาสตร์ พระมหาราชเจ้าเป็นประมุขของมนุษย์นิกร สมุทรสาครเป็นประธานของแม่น้ำทั้งหลาย ดวงจันทร์ใหญ่กว่าดวงดาวนักษัตรในอากาศ ดวงภานุมาศใหญ๋กว่าบรรดาสิ่งของที่มีแสงร้อนทั้งหลาย ฉันใด พระสงฆ์ย่อมเป็นใหญ่สำหรับทายกผู้หวังบุญบำเพ็ญทานอยู่ ฉันนั้น.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาเกณิยชฎิลด้วยคาถาเหล่านี้แล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ.

พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล

พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๒

ฉบับมหามกุฎราชวิทยาลัย

หน้า ๑๔๑-๑๔๖